การเลือกซื้อกองทุนกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ตัวอย่างกองทุนที่เราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์นั้นประกอบไปด้วย
1.กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ (Fixed income fund) ซึ่งเน้นลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้ เช่น เงินฝาก พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ เน้นความเสี่ยงต่ำ รับรายได้ประจำจากดอกเบี้ย อาจจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ในไทย หรือในต่างประเทศก็ได้ซึ่งหากมีการลงทุนในต่างประเทศก็จะมีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งบางครั้งอาจมีกลยุทธ์การลงทุนที่คุ้มครองเงินต้นด้วยก็ได้ซึ่งจะทำให้เงินต้นไม่หายแต่ผลกำไรจะไม่สูงโดยการเลือกลงทุนในตราสารทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เช่น พันธบัตรรัฐบาล
2.กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) เป็นการลงทุนในตราสารการเงินระยะสั้น ส่วนใหญ่อายุไม่เกิน 1 ปี
เน้นความเสี่ยงต่ำ ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากทั่วไปที่ปัจจุบันตามกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝาก
มีการจำกัดการคุ้มครองสูงสุดที่ 1,000,000 บาทต่อบัญชีต่อสถาบันการเงินดังที่เราทราบกัน กองทุนรวมประเภทนี้นิยม
ใช้เป็นที่พักเงินระยะสั้นเพื่อรอการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อีกครั้ง
3.กองทุนรวมตราสารแห่งทุน (Equity fund) จะเน้นการลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65 % กองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนก็มีโอกาสสูงด้วย ซึ่งอาจจะมีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศโดยมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันไป เช่น Theme Healthcare ก็อาจจะเน้นการลงทุนในหุ้นที่ประกอบธุรกิจ
ในอุตสาหกรรม
ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล ยา หรือเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ฯลฯ
4.กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment Fund) กองทุนประเภทนี้จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกต่างๆ เช่น ทองคำ (Gold Fund) ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในทองคำโดยตรง หรือลงทุนในดัชนีราคาทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ (Property Fund หรือ REIT) ซึ่งลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บ้าน คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน หรือ ศูนย์การค้า ที่ผู้ลงทุนสามารถเป็นเจ้าของอาคารนั้นหรือสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนจากทรัพย์สินนั้นๆ เช่น ค่าเช่า หรือปัจจุบันทรัพย์สินทางเลือกที่เริ่มเข้ามาเป็นที่สนใจของตลาด เช่น Crypto Currency