กลับมาอีกแล้วกับนโยบายส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล
โดย
|
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกแล้วกับ TAXBugnoms เจ้าเก่าเจ้าเดิม กับบทความประจำเดือนมิถุนายน เกี่ยวกับนโยบายที่กลับ มาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรตามคำเรียกร้อง นั่นคือ นโยบายส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล ที่เพิ่งหมดอายุ ไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมาแบบสดๆ ร้อนๆ ตรงนี้ผมต้องบอกก่อนว่า มาตรการนี้ยังไม่ได้ประกาศเป็นกฎหมายนะครับ (ณ วันที่ผมเขียนบทความอยู่ในช่วงกลางเดือน พฤษภาคมครับ) ซึ่งทาง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา เห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลามาตรการ ส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลที่หมดอายุไปเมื่อ 31 ธันวาคม 2560 โดยต่ออายุไปอีก 1 ปี ให้บุคคลธรรมดาที่อยากจะเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลได้รับสิทธิจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ถ้าอ้างอิงจาก พระราชกฤษฎีกา 630 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับเดิม จะเห็นว่าสิทธิประโยชน์ของบุคคลธรรมดาที่จะได้รับเมื่อ เปลี่ยนมาเป็นนิติบุคคลนั้น ประกอบด้วยรายการหลักๆ ต่อไปนี้ 1. ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ แก่บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์ อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สิน 2. สำหรับบริษัทที่จัดตั้งใหม่มีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท สามารถนำรายจ่ายจากการจัด ตั้งบริษัท รวมทั้งรายจ่ายค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชี มาหักรายจ่ายได้ 2 เท่า เป็นเวลา 5 รอบบัญชีโดยการต่ออายุกฎหมาย ฉบับนี้ ผมมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดาหลายๆ แห่งที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลในปีที่แล้ว และมองว่าอนาคตกิจการจะเติบโตในระยะยาว การตัดสินใจจดทะเบียนในปีนี้จะทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น อย่างแน่นอนครับ
หลักการพิจารณาในการเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล ต้องบอกก่อนว่าความคิดเห็นในบทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ แต่สำหรับพรี่หนอมแล้ว ผมมองว่าการพิจารณาเพื่อ เปลี่ยนแปลงจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลนั้น ควรใช้หลักการตามนี้ครับ 1. สิ่งที่ต้องรู้ก่อน คือ “กำไรของธุรกิจ” โดยมองว่ากำไรที่แท้จริงของธุรกิจที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น มีเท่าไรและ จำนวนภาษีที่ต้องเสียนั้นอยู่ในจุดที่เรารับได้ไหม? 2. มองถึงต้นทุนในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เช่น ค่าจ้างพนักงาน ต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นหลังจากจดทะเบียนนิติบุคคลมาก แค่ไหน ทั้งต้นทุนที่เป็นตัวเงินและเวลาที่เกิดขึ้น 3. เปรียบเทียบความชัดเจนของข้อ 1 และ 2 ว่าคุ้มค่าจริงหรือเปล่า? ประกอบกับประโยชน์ที่เราจะได้รับในประเด็นอื่นๆ เช่น ความสะดวกในการจัดการกิจการ และการดูแลต่างๆ ทางด้านการเงิน อย่างเช่นการขอกู้ยืมเงิน รวมถึงความน่าเชื่อถือต่างๆ หลักการ 3 ข้อนี้เป็นแนวคิดคร่าวๆ ในการจัดการที่เน้นมองไปในด้านของการเงินและธุรกิจเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากบางคนมอง ในแง่ของการเริ่มต้นธุรกิจหรือมองในแง่ของการเติบโตในอนาคตโดยยึดหลักการบริหารเป็นหลักมากกว่าตัวเลขทางการเงิน ก็ควรดูการประมาณการด้านอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจอีกทีด้วยนะครับ ลองคิดแบบนี้ครับ…ถ้าหากการเลือกจดเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นมันเป็นประโยชน์กับเรา เช่น เราเป็นเจ้าของ ธุรกิจที่เสียภาษีในปี 2560 เพิ่มขึ้นมากจนปวดใจ และมองว่าปีนี้รายได้เราจะเพิ่มขึ้น รวมถึงเรามีแผนอยากได้สินเชื่อธนาคาร เพื่อขยายกิจการ การจดนิติบุคคลก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่เราได้ประโยชน์ล้วนๆ พร้อมกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ตามมา ในแง่ของการประหยัดและการหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นต่างๆ แต่หากเรามองว่าธุรกิจเรานั้นไปแบบเรื่อยๆ ไม่โตแน่ๆ เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกวันนี้ก็เสียได้ ไม่ได้ลำบากใจ ปี 2560 เสียน้อยกว่าเดิมอีกต่างหากเพราะรายได้ลด แบบนี้เราก็อาจไม่ต้องสนใจนโยบายนี้ก็ได้ครับ แต่ให้มองสักหน่อยว่า ถ้าไม่จดแล้ว ภาษีที่เราเสียอยู่ในทุกๆ วันนี้มันถูกต้องแล้วนะ ถ้าถูกตรวจสอบขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แบบนี้เราก็ไม่เลือกจดได้ ครับ เพราะกฎหมายไม่ได้บอกว่าถ้าไม่จดแล้วสรรพากรจะมาหาถึงบ้านหรือตามล้างบางเรื่องภาษีสักหน่อย (ฮ่าๆ) ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการบัญชีทั้งหลายคงสามารถให้คำแนะนำลูกค้าได้อยู่แล้วครับ จริงไหมครับ? และ ผมเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้หรือแนวๆ นี้น่าจะมีส่วนสนับสนุนมากขึ้นในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ธุรกิจทั้งหลายเข้าสู่ ระบบและทำบัญชีได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้นครับ
|
ภาษี : Tax Knowledge : TAXBugnoms (บล็อกภาษีข้างถนน) วารสาร : CPD&ACCOUNT มิถุนายน 2561 |
|
|