สิทธิความคุ้มครองของผู้ประกันตนยังมีหรือไม่? หากนายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนกองทุนฯ
โดย
|
ผู้ประกันตนได้รับความคุ้มครองหรือไม่? หากนายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนกองทุนฯ |
หน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมาย กฎหมายประกันสังคมหรือพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 (กองทุนประกันสังคม) และกฎหมายเงินทดแทนหรือ พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 (กองทุนเงินทดแทน) กำหนดบังคับว่า นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน ขึ้นไป มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างและยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง/ผู้ประกันตนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีลูกจ้างดังกล่าว (หรือวันที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ) เว้นแต่ กิจการบางประเภทที่กฎหมายยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียน หรือกิจการ ที่ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. 2537 และกฎหมายทั้งสองฉบับได้กำหนดหน้าที่ของนายจ้างหลังจากการขึ้นทะเบียนไว้ว่า
• กองทุนประกันสังคม นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของผู้ประกันตนทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่ผู้ประกันตนมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้า กองทุนประกันสังคม และนายจ้างมีหน้าที่นำเงินสมทบที่หักไว้ดังกล่าว รวมทั้ง เงินสมทบในส่วนที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบ ส่งเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นประจำทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่หักเงินสมทบไว้
• กองทุนเงินทดแทน นายจ้างมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนเป็นรายปี โดยคำนวณจากค่าจ้างของลูกจ้างทั้งปี โดยนายจ้างไม่มี หน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อจ่ายสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน
กรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังที่กล่าวข้างต้น จะเกิดผลในทางกฎหมายคือ นายจ้างมีความผิดทางอาญา ระวางโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และรับผิดทางแพ่ง คือ รับผิดในเงินสมทบ ที่ค้างชำระและเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน (มาตรา 96 และมาตรา 97 กฎหมายประกันสังคม และมาตรา 46 มาตรา 62 กฎหมายเงินทดแทน)
ส่วนลูกจ้าง/ผู้ประกันตนจะมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายหรือไม่
(1) การคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคม มาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดหลักการสำคัญว่า กรณีที่นายจ้างไม่ได้ขึ้นทะเบียน นายจ้าง ไม่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตน ไม่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ถือว่าผู้ประกันตนได้ จ่ายเงินสมทบแล้ว หรือกรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามกำหนดเวลา นายจ้างยังมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบตามกฎหมาย และถือเสมือนว่านายจ้างได้จ่ายค่าจ้างแล้ว ส่วนลูกจ้างมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เพราะกฎหมายถือว่าผู้ประกันตน ได้จ่ายเงินสมทบแล้วตั้งแต่วันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง การคุ้มครองผู้ประกันตนในกรณีชราภาพ กฎหมายประกันสังคมกำหนดจ่ายประโยชน์ทดแทน 2 ลักษณะ คือ (1) เงินบำเหน็จชราภาพ กรณีที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ครบ 180 เดือน (2) เงินบำนาญชราภาพ กรณีที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป
(2) การคุ้มครองจากกองทุนเงินทดแทน ในกรณีที่นายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนและไม่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนมีผลบังคับในลักษณะเดียว กับกฎหมายประกันสังคมและลูกจ้างยังคงได้รับความคุ้มครอง หากลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ลูกจ้าง ยังคงมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายเงินทดแทนกำหนด
กล่าวโดยสรุปคือ การที่นายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนนายจ้างในกองทุนประกันสังคมหรือในกองทุนเงินทดแทน ลูกจ้าง/ผู้ประกัน ตน ยังคงมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนดไว้และเป็นหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคมที่จะติดตามและดำเนิน การตามกฎหมายกับนายจ้าง ทั้งการขึ้นทะเบียนนายจ้างย้อนหลัง ความรับผิดในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทนย้อนหลังและรับผิดในจำนวนเงินเพิ่ม (เบี้ยปรับ) ในอัตราร้อยละ 2 ของเงินสมทบที่ค้างชำระ
บางส่วนจากบทความ “สิทธิความคุ้มครองของผู้ประกันตนยังมีหรือไม่? หากนายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนกองทุนฯ” อ่านบทความเต็มได้ใน... วารสาร HR Society magazine ปีที่ 18 ฉบับที่ ฉบับที่ 215 เดือนพฤศจิกายน 2563 |
|
กฎหมายแรงงาน : ประกันสังคม : ปรานี สุขศรี วารสาร : HR Society Magazine พฤศจิกายน 2563 |
|
|