บทบาทภาวะผู้นำที่ยืดหยุ่น (Resilient Leadership) ในการบริหารจัดการองค์กร

     “ผู้นำ” ต้องสร้างวัฒนธรรมความเชื่อมั่นและความร่วมมือให้เกิดขึ้นในตัวทีมงาน (พนักงาน) ให้ได้ จากการสื่อสารทำความเข้าใจให้เห็นภาพของทางรอด หากทุกคนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และมีการสั่งการออกมาอย่างเต็มที่ เต็มใจ ซึ่งตัว “ผู้นำ” จะต้องสื่อสารเป็น พร้อมแสดงตนในการร่วมมือกันทั้งองค์กร ดังนั้น ภาวะผู้นำที่ยืดหยุ่น ต้องประกอบด้วย
     1. การฟื้นตัวเองจากวิกฤต (Crisis Recovery) ผู้นำที่ยืดหยุ่นด้วยการปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปฏิบัติงานในการบริหารจัดการองค์กร จะสามารถนำพาตัวเองและลูกน้องให้รอดพ้นผ่านวิกฤตอย่างไม่ลำบาก ทั้งยังได้เรียนรู้และเสริมสร้างทักษะกับประสบการณ์ของตนให้บังเกิดขึ้นมาจากองค์กรแห่งการเรียนรู้ไปด้วยกันกับทีมงาน พร้อมกับองค์กรได้มีการพัฒนาบนความเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดความแข็งแกร่งและยั่งยืนสืบไป อันเนื่องมาจากการยอมในการปรับตัวให้ยืดหยุ่นของ “ผู้นำ” ซึ่งปราศจากการยึดติดหรือมีทิฐิ (ความอวดดื้อถือดี) ได้ถูกปล่อยวางออกไปอย่างมีสติทั้งในยามปกติและในยามวิกฤต เมื่อมีสติตั้งมั่นกับตนเอง การควบคุมสั่งการ บังคับบัญชา และมอบหมายงานก็จะแม่นยำ ถูกต้อง ปัญหากับอุปสรรคที่เกิดขึ้นก็จะได้รับการแก้ไขให้หมดไปจากองค์กร ทิศทางของการเดินทางสู่เป้าหมายก็จะมีความชัดเจนและฟื้นตัวจนหลุดพ้นจากภาวะวิกฤตใดๆ ที่เกิดขึ้นไปได้ องค์กรก็จะเติบโตและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายต่อไป
     2. การบริหารความเปลี่ยนแปลง (Change Management) บทบาทของภาวะผู้นำที่ยืดหยุ่น จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการองค์กร พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงให้มีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะเกิดขึ้นมาทั้งในยามวิกฤตและยามสถานการณ์ปกติ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมกันภายในองค์กร ไม่ทำให้เกิดความสับสนและความเครียดต่อผู้ใช้งานกับทีมงานมากจนเกินไป ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของตัว “ผู้นำ” ที่มีทักษะ กอปรกับการมีสติที่จะยึดมั่นในวิถีของการออกจากกรอบแบบเดิมๆ ที่ถูกกำหนดและปิดตายมาตลอดยุคสมัยในอดีตให้หมดไป พร้อมกับการนำหลักการและวิธีคิดแนวใหม่เข้ามาใช้ปฏิบัติงานในการบริหารจัดการ บังคับบัญชา สั่งการ มอบหมายงาน ติดตามงานตามแบบแผนที่ได้มีการกำหนด ออกแบบ และวางแผนไว้ก่อนตามแนวการบริหารสมัยใหม่ เพื่อหนีจากกรอบการบริหารแบบเดิมซึ่งมักจะยึดติดตามวิถีที่ไม่มีรูปแบบ นึกได้ก็สั่ง สั่งได้ก็ลืม ลืมได้ก็หลุด หลุดได้ก็เสียหาย เสียหายองค์กรก็พัง ซึ่งมีการทำตามๆ กันมา ตามช่วงระยะเวลาในอดีตจนถึงปัจจุบัน
     3. การรักษาขวัญและกำลังใจ (Morale and Engagement) อีกหนึ่งเครื่องมือที่จะนำมาใช้กับการบริหารจัดการองค์กรของภาวะผู้นำที่ยืดหยุ่น (Resilient Leadership) มักนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนวิธีบริหาร ซึ่งเดิมไม่เคยคิดที่จะฟังความคิดเห็นของทีมงาน (พนักงาน) แต่กลับฟังเสียงที่ประจบ สอพลอ เยินยอทุกครั้ง องค์กรถึงได้มีการบิดเบี้ยวไม่มีความสามัคคีกัน ความร่วมมือจึงไม่บังเกิด หนทางที่องค์กรพังพินาศจึงเกิดขึ้นง่าย ต่างกับผู้นำที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะให้พื้นที่กับทีมงาน (พนักงาน) พร้อมกับการรับฟังเสียง ข้อเสนอแนะ และข้อติชม การให้กำลังใจทีมงานทุกครั้งที่หากเกิดข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงานก็จะไม่มีการด่าหรือบ่น หรือใช้คำหยาบคายทำให้เสียกำลังใจ แต่กลับพูดให้กำลังใจพร้อมกับการพัฒนา สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทีมงาน (พนักงาน) ได้กล้าพูด กล้าคุย กล้าเสนอแนวคิดในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กรให้หมดไป เพราะทีมงาน (พนักงาน) เหล่านี้จะรู้สาเหตุและต้นต่อของปัญหา เพียงแค่ “ผู้นำ” กล้าที่จะนำความเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติ แนวคิด กับการสื่อสารเข้ามาใช้กับบุคลากรเหล่านี้ ปัญหาและอุปสรรคก็จะหมดไป เพราะได้รับการแก้ปัญหาตรงจุด
     4. การพัฒนาทีมงาน (People Development) หลักการสุดท้ายของบทบาทภาวะผู้นำที่ยืดหยุ่น นั่นก็คือ การพัฒนาทีมงาน (พนักงาน) ในทีมให้มีความสามารถและมีศักยภาพเพิ่มขึ้น พร้อมความรู้ ทักษะของการปฏิบัติงานยุคใหม่ ตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยียุคใหม่เข้ามาเพื่อเสริมสร้างช่วยเหลือในการทำงาน ทำให้การปฏิบัติงานรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น จากการนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือช่วยลดแรงกดดันในการทำงานของทีมงาน และยังเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับปัญหาบนสถานการณ์ที่วิกฤตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันจะส่งผลกระทบทำให้องค์กรต้องสะดุดและชะงักในอนาคตได้ เพราะการเตรียมคนให้มีความพร้อม นั่นคือสูตรสำเร็จของการที่องค์กรจะเติบโตและก้าวหน้าในแบบยั่งยืนได้ตลอดไป ดังคำกล่าวที่ว่า “บุคลากร (คน) ในองค์กรคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร”